go to http://oracle.in.th

Wednesday, April 28, 2010

ถ้า datafile ของ Temporary Tablespaces มีการใช้งานเกือบเต็ม 99% จะมีผลอะไรบ้าง ?

สวัสดีครับ เพื่อน ๆ ใน Oracle.in.th ทุกท่าน

วันนี้ผมได้เปิด Twitter แล้วอ่าน ๆ ดู แล้วผมพบคำถามว่า
"ถ้า datafile ของ Temporary Tablespaces มีการใช้งานเกือบเต็ม 99% จะมีผลอะไรบ้างครับ ?"

ผมเลยเอาคำตอบมาให้ เพื่อน ๆ ได้อ่านกันนะครับ

ถ้าถามว่า ถ้า datafile ของ Temporary Tablespaces มีการใช้งานเกือบเต็ม 99% จะมีผลอะไรบ้าง ?

โดยปกติแล้ว tempfile จะต้องมีการ extend ต่อได้ จนถึง maxsize (หรือ limit)
SQL> select file_name, tablespace_name, increment_by,maxbytes from dba_temp_files;

ถ้าไม่สามารถ extend ได้แล้ว จะพบ
ORA-01652: unable to extend temp segment -> บน transaction ที่กำลังใช้ TEMP Segment

ถ้าหมายถึง tempfile ที่ไม่สามารถ extend ได้แล้ว ขอยกตัวอย่าง
SQL> create temporary tablespace test_temp tempfile size 128k autoextend off extent management local uniform size 64k;

SQL> alter user surachart temporary tablespace test_temp;

SQL> show user;
USER is "SURACHART"

SQL> CREATE GLOBAL TEMPORARY TABLE my_temp_table (
column1 NUMBER,
column2 NUMBER
) ON COMMIT DELETE ROWS;

Table created.

SQL> insert into my_temp_table select object_id,object_id from all_objects;
insert into my_temp_table select object_id,object_id from all_objects
*
ERROR at line 1:
ORA-01652: unable to extend temp segment by 8 in tablespace TEST_TEMP

แต่กรณี 99% แล้วยัง extend ต่อได้ ไม่ควรมีปัญหาครับ

กรณี ORA-01652
ควรที่จะต้องเพิ่ม tempfile หรือแก้ไข transactionนั้นๆ (sql) ให้ใช้ temp segment น้อยลง


...หวังว่าเพื่อน ๆ คงหายสงสัยกันแล้วนะครับ
ถ้าเพื่อน ๆ มีคำถาม ก็สามารถส่งมาถามใน Twitter กันได้นะครับ @oracleinth
ปล. ขอบคุณ คุณ @aongang ด้วยครับ ^^

Credit by @surachart
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Tuesday, April 27, 2010

Oracle กว้านซื้อหุ้นของ Phase Forward Inc.


Oracle ได้ลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยการเข้าซื้อหุ้นของ Phase Forward Inc. จากตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เป็นเงินถึง 685 ล้าน US ซึ่ง Phase Forward ก็เป็นองค์กรที่พัฒนาซอร์ฟแวร์ที่ใช้ในการจัดการการทดลองทางการแพทย์เช่น ยา เป็นต้น โดย Oracle มีแผนว่าจะครอบคลุมไปในส่วนของหน่วยทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสุขภาพด้วย

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Friday, April 23, 2010

Oracle ออกตัว VM Templates ตัวใหม่ สำหรับ Oracle Application

ทาง Oracle ได้ออกตัว Oracle VM Templates ขึ้นมาใหม่สำหรับ Oracle E-Business Suite, Oracle's JD Edwards EnterpriseOne และ Oracle's PeopleSoft


ตัว Oracle VM Templates นี้จะใช้งานบน Oracle Enterprise Linux ทำให้เราสามารถ pre-installed และ pre-configured โดยไม่ต้องทำการ install software ใหม่ ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น ทั้งทางด้านการประหยัดเวลา และที่สำคัญคือประหยัดงบประมาณอีกด้วย

ใครสนใจ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดต่อใน Link อ้างอิงด้านล่างได้เลยนะครับ

Credit by Pok

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Wednesday, April 21, 2010

Oracle เผยโฉม Oracle Enterprise Manager (OEM) Grid Control 11g ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานแล้ว

"Oracle เผยโฉม Oracle Enterprise Manager (OEM) Grid Control 11g ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานแล้ว"
Oracle Enterprise Manager (OEM) Grid Control 11g (11.1.0.1.0) เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดซอร์ฟแวร์ตัวนี้ไปใช้ได้จากที่ edelivery

oem1
oem2

สนใจดาวน์โหลดโปรแกรม สามารถคลิกที่ Link Download จากด้านล่างนี้

หรือสนใจดู Webcast ได้จาก Link นี้

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Monday, April 19, 2010

การตรวจเช็คบนฐานข้อมูล(oracle) ตอนที่ 1

หลังจากที่ได้อ่านบทความบน Oracle Support (ID 122669.1) เห็นว่ามีประโยชน์อย่างมาก จึงได้นำมาเสนอ

บทความนี้อธิบายถึงวิธีการและพื้นฐานที่ควรต้องรู้บนฐานข้อมูล ซึ่งจะช่วยในการตรวจสอบ และหาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

1. Parameter file - parameter ไฟล์ มี 2 แบบ คือ text ไฟล์ (pfile) และ binary ไฟล์ (spfile), pfile สามารถแก้ไขได้ด้วย Editor บน OS นั้นๆ ส่วน spfile ต้องจัดการผ่าน Instance ของมันเอง

ตั้งแต่ Oracle 8i เราใช้ text ไฟล์ที่เรียกว่า pfile (parameter file) ในการเก็บ database initialization parameters ซึ่ง pfile นี้จะถูกอ่านเมื่อ Instance เริ่มต้น(startup) การเปลี่ยนค่าอะไรก็ตามใน pfile จะมีผลก็ต่อเมื่อฐานข้อมูล มีการเริ่มต้นใหม่(restart) แต่ parameter(dynamic)ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วย ALTER SYSTEM หรือ ALTER SESSION ซึ่งจะมีผลทันที

จากนั้น Oracle 9i มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า spfile (server parameter file) ซึ่งเป็น binary ไฟล์ และเก็บข้อมุล เหมือนกับ pfile การเปลี่ยนแปลงใน spfile ต้องทำผ่่าน Instance โดยการใช้ ALTER SYSTEM

SPFILE อนุญาติให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบ (dynamic) โดยไม่ต้องหยุด Instance และ spfile ยังใช้ในแชร์บน RAC, ในการเริ่มต้น Instance นั้นถ้าเราไม่ระบุ pfile - Oracle จะใช้ spfile ในการเริ่มต้น Instance

การเซตค่า Server Parameter File:
ใช้ SID เพื่อกำหนดค่าเฉพาะแต่ละ Instance (เห็นได้ชัดบน RAC), ใช้ '*' สำหรับทุกๆ Instance ในฐานข้อมูล
เช่น
db2.thread=2
db1.thread=1
*.undo_management='AUTO'
*.undo_retention=3600
db2.undo_tablespace='UNDOTBS2'
db1.undo_tablespace='UNDOTBS1'
กับ Parameter ที่เป็น dynamic เราสามารถใช้ ALTER SESSION หรือ ALTER SYSTEM เปลี่ยนแปลงขณะที่ Instance ยังทำงานอยู่
ALTER SESSION SET parameter_name = value
ALTER SYSTEM SET parameter_name = value [DEFERRED]
สำหรับ ALTER SYSTEM เราสามารถกำหนด SCOPE เพื่อระบุขอบเขตในการเปลี่ยนแปลง

SCOPE = SPFILE - เหมาะกับ parameter ที่เป็น dynamic และ static เมื่อเปลี่ยนแปลงใน spfile ไฟล์ จะมีผลหลังจากเริ่มต้นใหม่ครั้งต่อไป (restart)
SCOPE = MEMORY - เหมาะกับ parameter ที่เป็น dynamic การเปลี่ยนแปลงจะเปลี่ยนเพียงใน หน่วยความจำเท่านั้น
SCOPE = BOTH - เหมาะกับ parameter ที่เป็น dynamic จะเปลี่ยนทั้งใน spfile ไฟล์ และ หน่วยความจำ
หากไม่ระบุ SCOPE = BOTH (default)
เช่น
SQL> show parameter open_cursors
NAME TYPE VALUE
------------------------------------ ----------- ------------------------------
open_cursors integer 300

SQL> alter system set open_cursors=100 scope=MEMORY;
System altered.

SQL> show parameter open_cursors;
NAME TYPE VALUE
------------------------------------ ----------- ------------------------------
open_cursors integer 100

SQL> select sid, name, value from v$spparameter where name='open_cursors';
SID NAME VALUE
----- -------------------- ----------
* open_cursors 300

SQL> alter system set open_cursors=200 scope=BOTH;
System altered.

SQL> show parameter open_cursors;
NAME TYPE VALUE
------------------------------------ ----------- ------------------------------
open_cursors integer 200

SQL> select sid, name, value from v$spparameter where name='open_cursors';
SID NAME VALUE
----- -------------------- ----------
* open_cursors 200

SQL> alter system set open_cursors=300 scope=SPFILE;
System altered.

SQL> show parameter open_cursors;
NAME TYPE VALUE
------------------------------------ ----------- ------------------------------
open_cursors integer 200

SQL> select sid, name, value from v$spparameter where name='open_cursors';
SID NAME VALUE
----- -------------------- ----------
* open_cursors 300

SQL> alter system set open_cursors=300 sid='TEST' scope=SPFILE;
System altered.

SQL> select sid, name, value from v$spparameter where name='open_cursors';
SID NAME VALUE
----- -------------------- ----------
* open_cursors 300
TEST open_cursors 300

SQL> alter system reset open_cursors sid='TEST' scope=SPFILE;
System altered.

SQL> select sid, name, value from v$spparameter where name='open_cursors';
SID NAME VALUE
----- -------------------- ----------
* open_cursors 300
จากตัวอย่างข้างบนยังแสดงให้เห็นว่าเรายังสามารถใช้ SID='...' เป็นอะไรก็ได้ และการใช้ ALTER SYSTEM RESET

การตรวจสอบว่าใช้ spfile หรือไม่
(อ้างอิง)
SQL> show parameter spfile
NAME TYPE VALUE
------------------------------------ ----------- ------------------------------
spfile string /oracle/11gR1/dbs/spfileorcl.ora

SQL> select isspecified, count(*) from v$spparameter group by isspecified;
ISSPEC COUNT(*)
------ ----------
TRUE 23
FALSE 267
หากต้องการนำ SPFILE ออกมาเป็น text ไฟล์ - ทำได้โดย
CREATE PFILE FROM SPFILE
เช่น
SQL> create pfile='/tmp/pfile' from spfile;
File created.
ในมุมกลับกัน หากต้องการเปลี่ยนจาก pfile เป็น spfile
CREATE SPFILE FROM PFILE
เช่น
SQL> create spfile from pfile;
หรือ
SQL> create spfile from pfile='/tmp/pfile';
จากนั้น stop/start ฐานข้อมูล
SQL> show parameter spfile;
NAME TYPE VALUE
------------------------------------ ----------- ------------------------------
spfile string

SQL> create spfile from pfile;
File created.

SQL> shutdown immediate;

SQL> startup

SQL> show parameter spfile;
NAME TYPE VALUE
------------------------------------ ----------- ------------------------------
spfile string /oracle/11gR1/dbs/spfileorcl.ora
เพิ่มเติม:
http://www.oracle.com/technology/documentation/index.html
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Saturday, April 10, 2010

ค่า Null ใน Oracle

หลายคนที่เคยใช้งานฐานข้อมูลมาระยะหนึ่ง จะต้องรู้จักกับค่าว่าง หรือค่า Null ซึ่งมีความพิเศษไม่เหมือนใครอยู่หลายอย่าง และเป็นหลุมพรางที่ก่อให้เกิด bug ใน application มาแล้วนับไม่ถ้วน วันนี้ ผมจึงอยากชวนให้ผู้อ่านมาทำความรู้จักกับเจ้าค่าว่างนี้ กันให้มากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ทั้งกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นหัดเขียน SQL ใหม่ ๆ และนักพัฒนาที่มีประสบการณ์แล้วทุกท่าน

ความหมายและการใช้งาน

ความหมายของค่า Null ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดย E.F.Codd ผู้ให้กำเนิด Relational Model ซึ่งเป็นที่มา RDBMS ทั้งหลาย คือ “missing information and inapplicable information” แปลว่า ข้อมูลที่ไม่ถูกระบุหรือไม่สามารถระบุได้ โดยทั่วไปเราจะใช้ในความหมายว่า ข้อมูลที่ไม่ทราบค่า (unknown value)

ตาม Oracle Database SQL Language Reference Oracle แนะนำให้ระบุค่า Null กรณีต่อไปนี้

  1. when the actual value is not known เราไม่ทราบค่าที่แท้จริงของข้อมูลนั้น หรือ
  2. when a value would not be meaningful ค่าที่ใส่ให้กับข้อมูลนั้นไม่สื่อความหมายที่แท้จริง

กรณีที่ 1 นั้นตรงไปตรงมา ถ้าเราไม่รู้ค่าของข้อมูล เราก็ไม่ต้องใส่อะไรลงไป ฐานข้อมูลก็จะ assign ค่า Null ให้กับข้อมูลนั้น ส่วนกรณีที่ 2 ผมอยากจะเข้าใจว่า Oracle หมายถึงกรณีที่เราใส่ค่าพิเศษเฉพาะบางอย่างลงไปเพื่อสื่อความหมายพิเศษบางอย่าง เช่น ใส่ end date เป็น 31/12/9999 เพื่อแทนความหมายว่าไม่มีวันที่สิ้นสุด จะเห็นได้ว่าวันที่ 31/12/9999 ที่เราใส่ลงไปนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะสื่อถึงวันที่ดังกล่าวอย่างแท้จริง แต่สื่อถึงวันที่เท่าไรก็ได้ที่ไกลออกไปมาก ๆ เท่านั้น ในกรณีดังกล่าวเราอาจใช้ค่า Null แทนได้ (และผมเคยได้รับคำแนะนำมาว่าใช้ค่า Null ดีกว่าในแง่ของ Optimizer statistics ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ performance)

คุณสมบัติ

โดยปกติแล้ว ค่า Null เป็นค่าที่มีความหมายพิเศษ และจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับใครได้เลยแม้กระทั่งตัวมันเอง ตรงจุดนี้ ผู้ที่เริ่มต้นเรียน SQL ใหม่ ๆ มักเกิดความสับสน ขอให้คิดง่าย ๆ ว่า Null คือ unknown หมายความว่ามันสามารถจะมีค่าเป็นอะไรก็ได้ทุกค่า แต่ปัจจุบันเรายังไม่รู้ค่าของมัน ดังนั้น ค่า Null เท่ากับ Null จึงไม่ถูกต้อง เพราะตัวหนึ่งอาจจะกลายเป็น a ส่วนอีกตัวอาจจะกลายเป็น b ไปก็ได้ และในขณะเดียวกัน Null ไม่เท่ากับ Null ก็ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน เพราะมันอาจจะหมายถึง a ทั้งคู่ก็ได้

ตามทฤษฎีแล้ว Null มีความหมายไม่เหมือน 0 (Zero) เพราะ 0 มีค่า และ Null ต้องมีความหมายไม่เหมือนกัน empty string (string ที่มีขนาดเป็น 0 หรือใน SQL เราจะพิมพ์เครื่องหมายคำพูดสองตัวติดกัน ไม่เว้นวรรค) ด้วย ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติผมเก็บ ที่อยู่ แยกคอลัมน์เป็น บ้านเลขที่ ซอย ถนน เขต แขวง จังหวัด ถ้าบ้านผมอยู่ติดถนนใหญ่ ผมก็ไม่มีชื่อซอย ในกรณีนี้ ค่าในคอลัมน์ซอย ควรเป็น empty string เพราะไม่ใช่ผมไม่รู้ชื่อซอย หรือไม่อยากระบุชื่อซอย แต่มันไม่มีชื่อซอยต่างหาก

แต่ทฤษฎีส่วนทฤษฎี ปัจจุบัน Oracle จัดการกับ Null และ empty String โดยมองว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันเลย แม้จะมีการระบุว่าอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงกติกานี้ได้ และแนะนำให้เราอย่าใส่ empty string แทน null แต่ผมเห็นเขาระบุแบบนี้มาตั้งแต่เวอร์ชั่น 7 จนวันนี้เวอร์ชั่น 11 ก็ยังระบุข้อความเหมือนเดิม (แต่รู้สึกจะเน้นข้อความมากขึ้นอีกนิด) และก็นึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าหากเกิดเปลี่ยนขึ้นมาเมื่อไร โลกของ application ที่สร้างบน oracle จะวุ่นวายสับสนขนาดไหน งานเข้าแน่ ๆ เอาเป็นว่า เราทำตามเขาว่าไปก่อน ก็แล้วกัน empty string ก็ส่วน empty string null ก็ส่วน null อย่าเอามาใช้ปนกัน

การคำนวณ

ตามกติกาแล้ว การคำนวณใด ๆ ที่ดำเนินการกับค่า Null ไม่ว่าจะเป็นการบวก ลบ คูณ หาร ผลลัพธ์ที่ได้จะต้องมีค่าเป็น Null ด้วย เพราะเรามองว่าค่า null จะหมายถึงค่าจริงอะไรก็ได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะกลายเป็นอะไรก็ได้เหมือนกัน ดังนั้นมันก็ต้องเป็น Null อย่างไรก็ดี เนื่องจาก Oracle มอง Null เป็น empty String ทำให้การจับ null มาต่อกับ string อื่น (concatenation) ได้ค่าเท่ากับ string นั้น ๆ การ concatenation เป็น operator ยกเว้นตัวเดียวที่ทำงานกับ null แล้วไม่จำเป็นต้องได้ค่า null

เรื่องของการคำนวณนี้เองที่มักกลายเป็นข้อผิดพลาดของโปรแกรมเสมอ หากผู้พัฒนาลืมที่จะพิจารณาว่าค่าที่เอามาคำนวณมีโอกาสที่จะเป็น null หรือไม่ หลายคนที่มีประสบการณ์กับข้อผิดพลาดแบบนี้ ก็เลยถือเป็นกฏไปเลยก็มีว่าต้องใส่ NVL ครอบตลอด แต่ผมเองก็ไม่แนะนำการใช้เป็นกฏตายตัวแบบนี้ ทางที่ดี ต้องพิจารณาความเป็นไปได้ของข้อมูลก่อนถึงค่อยใส่ เพราะบางครั้งการได้ผลลัพธ์เป็น null อาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะจะเตือนเราว่าข้อมูลของเราเกิดข้อผิดพลาดขึ้น และสามารถกลับไปแก้ไขที่ข้อมูลต้นทางได้ ดีกว่าที่จะให้ข้อผิดพลาดนั้นถูกซ่อนไว้ภายใต้ function NVL

เรื่องของ Null ยังมีหัวข้อที่น่าสนใจอีกไม่น้อย ผมคิดว่าเราจะมาต่อกันครั้งหน้า ในเรื่องของการเปรียบเทียบ การจัดกลุ่ม และการเรียงลำดับ ครับ

References:
http://en.wikipedia.org/wiki/Null_(SQL
http://download.oracle.com/docs/cd/E11882_01/server.112/e10592/sql_elements005.htm#i59110

ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Wednesday, April 7, 2010

มาแล้ว ๆ Oracle Database 11g Release 2 สำหรับ Windows!!

ข่าวใหม่มาแรง สำหรับ Oracle Database 11g Release 2 บนระบบปฏิบัติการ Windows ที่ได้ออกมาสด ๆ ร้อน ๆ ให้ดาน์โหลดกันไปใช้งาน ทั้งใน Windows 32-bit และ x64 อีกด้วย

สำหรับคนที่ตั้งตารอใช้ Oracle Database 11g Release 2 สำหรับ Windows ก็ไม่ต้องรอกันอีกต่อไปแล้วครับ
สามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้เลยตาม Link ข้างล่างนี้
http://www.oracle.com/technology/software/products/database/index.html

หรืออยากดาวน์โหลดไว ๆ ก่อนใคร กดที่ Link ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

Oracle Database 11g Release 2
Standard Edition, Standard Edition One, and Enterprise Edition


(11.2.0.1.0)

Download Microsoft Windows (32-bit) Disk 1, Disk 2   (2.1 GB)  |  See All
Download Microsoft Windows (x64)Disk 1, Disk 2   (2.1 GB)  |  See All
Download Linux x86Disk 1, Disk 2   (2.1 GB)  |  See All
Download Linux x86-64Disk 1, Disk 2   (2.2 GB)  |  See All
Download Solaris (SPARC) (64-bit)Disk 1, Disk 2   (2.3 GB)  |  See All
Download Solaris (x86-64)Disk 1, Disk 2   (2.2 GB)  |  See All
Download HP-UX ItaniumDisk 1, Disk 2   (2.3 GB)  |  See All
Download AIX (PPC64)Disk 1, Disk 2   (2.2 GB)  |  See All


อ้างอิง

Download: Oracle Database 11g Release 2 for Microsoft Windows

Oracle Database Software Downloads
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

หนทางการเป็น Expert ด้วย Oracle Certificate: ตอนที่ 2 ก้าวข้ามสู่ OCP (Part2)

มาแล้วครับ สำหรับตอนที่ 2 ของ หนทางการเป็น Expert ด้วย Oracle Certificate
ในครั้งแรก เราได้นำเสนอ Cert ตัวแรกไปให้เพื่อน ๆ และผู้ที่สนใจได้ลองอ่านกันดูแล้ว คราวนี้มาดู Cert ตัวที่ 2 กันบ้าง
นั่นคือ Oracle Certified Professional (OCP) แต่การที่จะไปสอบ OCP ได้นั้น เราต้องผ่าน หรือ ได้ Cert ของระดับแรก นั่นคือ OCA กันก่อนนะครับ ถ้าใครอยากรู้รายละเอียด สามารถดูที่บทความ หนทางการเป็น Expert ด้วย Oracle Certificate: ตอน เริ่มแรกสู่ OCA (Part1) ได้เลยครับ


สำหรับใครที่ต้องการข้อมูลการสอบ OCP ...รับรองว่า อ่านบทความนี้ ไม่ผิดหวังแน่นอน

เริ่มแรกเลย อย่าที่ได้กล่่าวไว้ข้างต้น ผู้ที่ต้องการสอบ Oracle Certified Professional (OCP) นั้น จะต้องผ่าน 3 ข้อนี้ก่อนนะครับ ถึงจะสามารถสอบ OCP ได้
  1. ต้องผ่าน Oracle Certified Associate (OCA)มาแล้ว
  2. ต้องผ่านการ train จากอย่างใดอย่างหนึ่ง
  3. ต้องสอบผ่าน ORACLE DATABASE 11G: ADMINISTRATION II รหัส 1Z0-053
  4. ราคาค่าสอบ US$ 125 ประมาณ 4100 บาท ข้อสอบ 78 ข้อ เกณฑ์ผ่าน 66% ขึ้นไป ใช้เวลา 120 นาที

คำแนะนำในการเตรียมตัว
จำลองการสอบ1Z0-053 โดยใช้ sotware ตาม link นี้
http://www.selftestsoftware.com/product.aspx?product_id=1Z0-053&dept_id=6082&
http://www.transcender.com/product.aspx?product_id=Cert-1z0-053&dept_id=130820&
อันนี้ต้องเสียตังซื้อนะคับ

หรือ ศึกษาแนวข้อสอบจาก test king
http://www.testking.la/1z0-053.html

หัวข้อที่ออกสอบ
  1. Database Architecture and ASM
  2. Configuring for Recoverability
  3. Using the RMAN Recovery Catalog
  4. Configuring Backup Specifications
  5. Using RMAN to Create Backups
  6. Performing User-Managed Backup and Recovery
  7. Using RMAN to Perform Recovery
  8. Using RMAN to Duplicate a Database
  9. Performing Tablespace Point-in-Time Recovery
  10. Monitoring and Tuning RMAN
  11. Using Flashback Technology
  12. Additional Flashback Operations
  13. Diagnosing the Database
  14. Managing Memory
  15. Managing Database Performance
  16. Space Management
  17. Managing Resources

การสอบผู้สอบสามารถเข้าไปลงทะเบียนและสอบออนไลน์จากลิ้งนี้เลยครับ
http://www.pearsonvue.com/oracle/

ขอให้โชคดีในการสอบครับ

Credit by Bie

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Thursday, April 1, 2010

WebCenter 11g ผ่านการรับรองให้ใช้งานได้กับ Oracle E-Business Suite Release 12 แล้ว

Oracle WebCenter Suite เป็นโปรแกรมที่รวมระหว่างผลิตภัณฑ์ของ Oracle ทั้งหมดมาทำเป็น Social Application, ศูนย์รวมขององค์กร, สังคมออนไลน์, Composite Applications, Internet หรือเว็บไซน์ Intranet, และ การสร้างและพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้แนวคิดธุรกิจสมัยใหม่ (Service-Oriented Architecture หรือ SOA)

WebCenter 11g นี้จะเป็นศูนย์รวมของ Framework ต่างๆ และ Application ของ Enterprise 2.0 โดยตอนนี้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มตัวใน Oracle E-Business Suite Release 12 แล้ว


สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดการติดตั้งและ Configuration ได้จากเอกสารด้านล่าง:

Certified EBS 12 Platforms มีดังต่อไปนี้:
  • Linux x86 (Oracle Enterprise Linux 4, 5)
  • Linux x86 (RHEL 4, 5)
  • Linux x86 (SLES 10)
  • Linux x86-64 (Oracle Enterprise Linux 4, 5)
  • Linux x86-64 (RHEL4, 5)
  • Linux x86-64 (SLES 10)
  • Oracle Solaris on SPARC (64-bit) (9, 10)
  • HP-UX Itanium (11.23, 11.31)
  • HP-UX PA-RISC (64-bit) (11.23, 11.31)
  • IBM AIX on Power Systems (64-bit) (5.3, 6.1)
  • Microsoft Windows Server (32-bit) (2003; 2008 for EBS 12.1 only)

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน: