go to http://oracle.in.th

Tuesday, March 30, 2010

Jar File...รวม library ทั้งหลาย ให้เป็น file เดียว

บทความคราวนี้ ผมได้พบมาจากประสบการณ์ในการทำงานของผมเลย ก็เลยคิดว่า น่าจะเอามาบอกต่อหน่อย เผื่อจะได้เป็นประโยชน์ให้แก่คนที่พบคำถามแบบนี้จากผมนะครับ...

สาเหตุของปัญหานี้ก็คือ พอดีมีลูกค้ามาถามผมว่า "ปกติเวลาเราเขียน application ของ java ส่วนใหญ่มักจะประกอบไปด้วย library (jar) หลายๆตัว เมื่อเราเขียน application เสร็จแล้วถ้าเราจะเอา application ตัวนี้ไปใช้ก็ต้องยกโขยง library ต่าง ๆ ของเราไปด้วย ไม่งั้นจะทำงานไม่ได้"
จึงเกิดคำถามที่ว่า...จะทำอย่างไรที่จะรวม library ต่าง ๆ เหล่านี้เป็น jar ตัวเดียว??


ซึ่งจริง ๆ แล้ว การที่เราต้องยกโขยง library ต่าง ๆ ของ application ไปทั้งหมด มันเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกเลยจริง ๆ ดังนั้น จึงมีวิธีการที่เรียกว่า Jar File หรือ Java ARchive ซึ่งเป็นการรวมหลาย ๆ ไฟล์เป็นเป็นไฟล์เพียงตัวเดียว ซึ่ง Developer มักจะใช้การสร้าง .jar ไฟล์นี้ในการทำ Java applications หรือ libraries ซึ่งจะมีทั้งข้อมูล classes, metadata และข้อมูลที่เป็น text, images, และอื่น ๆ อีกมากมาย

ซึ่งตัว JAR file นี้ จะถูกสร้างออกมาในรูปแบบของ ZIP file เมื่อต้องการจะแตก (extract) JAR file ได้โดยพิมพ์คำสั่ง jar command ที่มากับ JDK นั่นเอง

เรามาดูวิธีการทำ Jar File กันเลยดีกว่า
Step 1:
ให้สร้าง xml file โดยตั้งชื่อเป็น "build.xml" แล้วใส่คำสั่งตามข้างล่างนี้

<?xml version="1.0" encoding="UTF-8" standalone="no"?>
<project default="create_jar" name="Create Jar for Project TodoListTool">
  <!--this file was created by Eclipse Runnable JAR Export Wizard-->
  <!--ANT 1.7 is required                                        -->
  <target name="create_jar">
<jar destfile="C:/Documents and Settings/com11/Desktop/de.allianz.vpl.VPLTransformer.jar"
         filesetmanifest="mergewithoutmain">
<manifest>
        <!--<attribute name="Main-Class" value="systemtool.guiApplication.GuiApplication" />-->
        <attribute name="Class-Path" value="." />
      </manifest>
     
      <fileset dir="D:/java/jFrame_WorkSpace/de.allianz.vpl.VPLTransformer/bin" />

      <zipfileset excludes="META-INF/*.SF"                                                                    
                 
src="D:/java/jFrame_WorkSpace/de.allianz.vpl.VPLTransformer/lib/jdom.jar" />
      <zipfileset excludes="META-INF/*.SF"
                 
src="D:/java/jFrame_WorkSpace/de.allianz.vpl.VPLTransformer/lib/de.allianz.jFrame.jni.jar" />
      <zipfileset excludes="META-INF/*.SF"
                 
src="D:/java/jFrame_WorkSpace/de.allianz.vpl.VPLTransformer/lib/utility.jar" />
      <zipfileset excludes="META-INF/*.SF"
           
src="D:/java/jFrame_WorkSpace/de.allianz.vpl.VPLTransformer/lib/org.eclipse.swt_3.5.0.v3550b.jar" />
      <zipfileset excludes="META-INF/*.SF"           
     
src="D:/java/jFrame_WorkSpace/de.allianz.vpl.VPLTransformer/lib/org.eclipse.swt.win32.win32.x86_3.5.0.v3550b.jar" />
    </jar>
  </target>
</project>

ผมขออธิบายคำสั่งที่สำคัญ 4 ส่วน ก่อนนะครับ

<jar destfile="C:/Documents and Settings/com11/Desktop/de.allianz.vpl.VPLTransformer.jar"
         filesetmanifest="mergewithoutmain">
destfile: it is destination result of jar file.

<fileset dir="D:/java/jFrame_WorkSpace/de.allianz.vpl.VPLTransformer/bin" />
dir: it is result path of build java class (*.class). In Eclipse \bin.


<zipfileset excludes="META-INF/*.SF"                                                                    
            
src="D:/java/jFrame_WorkSpace/de.allianz.vpl.VPLTransformer/lib/jdom.jar" />
src: it is path of reference jar file.

และ


<!--<attribute name="Main-Class" value="systemtool.guiApplication.GuiApplication" />-->
จริง ๆ แล้วคำสั่งนี้ใช้สำหรับสร้าง execute jar file ถ้าต้องการสร้าง ให้เอาคำสั่ง Comment ออก แล้วใช้คำสั่งนี้แทน (ซึ่งตามตัวอย่าง ไม่ต้องการสร้าง เลยทำเป็น Comment ไว้)
value: This value is main class.

Step 2:
ให้ Copy "build.xml" ที่เรา้เพิ่งสร้างเมื่อกี้ นำไปไว้ที่ root directory ของโปรเจค (ตามรูป)


Step 3:

คลิกขวาที่ "build.xml" เลือก Run As > Ant Build


เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ ^^

Credit by @plaumkamon
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Thursday, March 25, 2010

หนทางการเป็น Expert ด้วย Oracle Certificate: ตอน เริ่มแรกสู่ OCA (Part1)

เมื่อวันที่ 8 ที่ผ่านมา มีเพื่อน ๆ ที่เข้ามาชมบล็อคเรา ได้โพสคอมเม้นไว้ว่า....
"สวัสดีครับ ผมอยากทรายรายละเอียดเกี่ยวกับ Oracle DBA Certificate ครับ รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำผมที"
 

ขอมา...ผมก็จัดให้! วันนี้ผมเลยเอารายละเอียดของ Oracle DBA Certificate มาฝากกันครับ ซึ่ง Certificate หรือผมขอเรียกสั้นๆว่า Cert ตัวนี้เนี่ย ก็เหมือนกับ ใบที่รับรองที่บอกว่า ผู้ที่ได้ Cert นี้ ได้ผ่านการรับรองว่า เป็นผู้ที่สามารถใช้งาน Oracle ได้อย่างชำนาญระดับหนึ่ง โดยทาง Oracle Corporation เป็นผู้ออกใบรับรอง หรือประกาศนียบัตรตัวนี้ให้กับผู้ที่สอบผ่านนั่นเอง

 โดยทั่วไปแล้ว การจะได้ Cert ของ Oracle DBA นั้น จะมีอยู่หลายระดับ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ตัว คือ
  1. Oracle Certified Associate (OCA)
  2. Oracle Certified Professional (OCP)
  3. Oracle Certified Master (OCM)
  4. Oracle Certified Master (OCE)
ซึ่งวันนี้ เรามาดูที่ตัวแรกกันก่อน นั่นคือ...Oracle Certified Associate (OCA)

Oracle Certified Associate (OCA) เป็น Certificate ในระดับแรกของ Orale Database Administrator หรือ DBA สำหรับผู้ที่สามารถสอบผ่าน OCA ได้แล้วนั้น จะได้รับการรับรองว่าบุคคลผู้นั้น มีทักษะขั้นพื้นฐานและสามารถทำงานในระดับพื้นฐานของ Oracle ได้ครับ และถ้าผู้ที่ต้องการสอบ Certificate ของ Oracle ในระดับ Oracle Certified Professional หรือ OCP ได้ จะต้องทำการสอบในระดับ OCA ให้ผ่านเสียก่อนครับ ซึ่งในเรื่องของ OCP และ Cert อื่นๆ ผมจะกล่าวในบทความหน้านะครับ

ในรายละเอียดของการสอบ ผู้ที่สอบจะต้องผ่านการสอบถึง 2 ครั้งด้วยกันคือ
  • ครั้งที่หนึ่ง จะมีการสอบให้เลือก 3 แบบ
1. Introduction to Oracle9i SQL
2. Oracle Database SQL Expert
3. Oracle Database 11g SQL Fundamentals I

สำหรับการสอบ ในแบบที่ 1 คือ Introduction to Oracle9i SQL จะมีเวลาในการสอบทั้งสิ้น 120 นาที จำนวนข้อสอบ 52 ข้อ โดยคะแนนระดับที่จะผ่านการสอบ ต้องไม่ต่ำกว่า 71% ซึ่งมีเนื้อหาในการสอบดังนี้
  1. Writing Basic SQL SElect Statement
  2. Restricting and Sorting Data
  3. Single-Row Function
  4. Displaying Data from Multiple Tables
  5. Aggregating Data using Group Function
  6. Subqueries
  7. Producing Readable Output with iSQL *Plus
  8. Manipulating Data
  9. Creating and Managing Tables
  10. Including Constrains
  11. Creating Views
  12. Creating Other Database Objects
สำหรับการสอบ ในแบบที่ 2 คือ Oracle Database SQL Expert มีเวลาในการสอบ 120 นาที จำนวนข้อสอบ 70 ข้อ คะแนนระดับที่จะผ่านการสอบ ต้องไม่ต่ำกว่า 66% โดยมีเนื้อหาในการสอบดังนี้
  1. Retrieving Data Using the SQL SELECT Statement
  2. Restricting and Sorting Data
  3. Using Single-Row Functions to Customize Output
  4. Reporting Aggregated Data Using the Group Functions
  5. Displaying Data from Multiple Tables
  6. Using Dubqueries to Solve Queries
  7. Using the Set Operators
  8. Manipulating Data
  9. Using DDL Statements to Create and Manage Tables
  10. Creating Other Schema Object
  11. Managing Objects with Data Dictionary Views
  12. Controlling User Access
  13. Managing Schema Objects
  14. Manipulating Large Data Sets
  15. Generating Reports by Grouping Releated Data
  16. Managing Data in Different Time Zones
  17. Retrieving Data Using Subqueries
  18. Hierachical Retrieval
  19. Regular Expressing Support
สำหรับการสอบ ในแบบที่ 3 คือ Oracle Database 11g SQL Fundamentals I มีเวลาในการสอบ 120 นาทีจำนวนข้อสอบ 70 ข้อ คะแนนระดับที่จะผ่านการสอบ ต้องไม่ต่ำกว่า 60% โดยมีเนื้อหาในการสอบดังนี้
  1. Retrieving Data Using the SQL SELECT Statement
  2. Restricting and Sorting Data
  3. Using Single-Row Functions to Customize Output
  4. Using Conversion Functions and Conditional Expressions
  5. Reporting Aggregated Data Using th Group Functions
  6. Displaying Data from Multiple Tables
  7. Using Subqueries to Solve Queries
  8. Using the Set Operators
  9. Manipulating Data
  10. Using DDL Statements to Create and Manage Tables
  11. Creating Other Schema Objects

  • ครั้งที่ 2 ผู้สอบทุกคนจะต้องสอบแบบเดียวกันคือ Oracle Database 11g: Administration I
มีเวลาในการสอบ 90 นาที จำนวนข้อสอบ 70 ข้อ คะแนนระดับที่จะผ่านการสอบ ไม่ต่ำกว่า 66% โดยมีเนื้อหาในการสอบดังนี้
  1. Exploring the Oracle Database Architecture
  2. Preparing the Database Environment
  3. Creating an Oracle Database
  4. Managing the Oracle Instance
  5. Configuring the Oracle Network Environment
  6. Managing Database Storage Structures
  7. Managing DAta and Concurrency
  8. Managing Undo Data
  9. Implementing Oracle Database Security
  10. DAtabase Maintenance
  11. Performance Management
  12. Intelligent Infrastructure Enhancements
  13. Backup and Recovery Concepts
  14. Performing Database Backups
  15. Performing Database Recovery
  16. Moving Data
ผู้สอบสามารถเตรียมตัวในการสอบโดยการไปทดลองทำข้อสอบได้ที่นี่ แต่จะต้องเสียเงินครับ
http://education.oracle.com/pls/web_prod-plq-dad/db_pages.getpage?page_id=208

สำหรับราคาค่าสอบแต่ละ แบบนั้นมีดังต่อไปนี้
1. Introduction to Oracle9i SQL US$ 125 หรือประมาณ 3875 บาท
2. Oracle Database SQL Expert US$ 195 หรือประมาณ 6045 บาท
3. Oracle Database 11g SQL Fundamentals I US$ 125 หรือประมาณ 3875 บาท
และ
Oracle Database 11g: Administration I US$ 195 หรือประมาณ 6045 บาท

สถานที่ในการสอบ ผู้สอบสามารถเข้าไป ลงทะเบียน ออนไลน์เพื่อเข้าสอบได้จากเว็บไซต์นี้ครับ
http://www.pearsonvue.com/oracle/

สำหรับคนที่จะเตรียตัวไปสอบ Cert ผมขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
คราวหน้า ผมจะมาพูดถึงอีก 3 ตัวที่เหลือนะครับ... โชคดีครับ

Credit by Ice

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Tuesday, March 23, 2010

วิธีการแก้ไขอาการแฮ็งค์ของ JDeveloper 11.1.1.2


วันนี้ขอเอาใจ Developer กันหน่อยดีกว่า

สำหรับ Developer อย่างเรา ๆ คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก JDevloper หรือเคยได้ยินชื่อ JDeveloper กันหรอก เพราะว่า JDeveloper นี้ เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษา Java โดยทาง Oracle เคยได้ออกเวอร์ชั่น JDeveloper 10g ออกมาให้ใช้ฟรี ๆ โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธ์ใด ๆ เพื่อเป็นการเชิญชวนผู้ที่สนใจให้เข้ามาใช้และดาวน์โหลดโปรแกรม JDeveloper 10 g นี้ไปกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งตอนนี้ Oracle ก็ได้ออกเวอร์ชั่นล่าสุดของ JDeveloper ออกมา คือ Oracle JDeveloper 11g (11.1.1.2.0) ที่เพิ่งจะเปิดให้ดาวน์โหลดกันไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมานี่เอง

สำหรับคนที่ใช้ JDeveloper 11.1.1.2 มาบ้างแล้ว อาจจะได้พบกับอาการแฮ็งค์ของ JDeveloper 11g กันบ้างคือเมื่อสร้าง XPath expressions ใน Expression Builder

ทาง Oracle เล็งเห็นถึงปัญหานั้นและก็ไม่ได้นิ่งเฉย เลยออกเป็น Release notes สำหรับ 11.1.1.2 ออกมา เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถดูวิธีแก้ไขได้ สามารถดู Release notes สำหรับ 11.1.1.2 และรวม Error อื่น ๆได้จาก ที่นี่

โดยการแก้ไขอาการแฮ็งค์นี้ ทำได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนด้านล่างนี้
  1. ให้ kill process ของ Oracle JDeveloper
  2. Restart Oracle JDeveloper ใหม่
  3. เลือก Select Tools > Preferences > SOA และ เอาเครื่องหมายถูกที่ Validate Expression เช็คบล็อกออก
เท่านี้ก็สามารถแก้ไขอาการแฮ็งค์ได้แล้วครับ

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Thursday, March 18, 2010

20 เหตุผล ที่ทำให้ Oracle คือองค์กรที่มี OpenSource ใหญ่ที่สุดของโลก

...มันไม่แปลกเลย ที่ Oracle ได้เป็นองค์กรที่ถือว่า มี Software Open Source ที่เยอะที่สุด และใหญ่ที่สุดของโลก เพราะว่า Oracle ได้รวมกับ Sun Microsystems เป็นที่เรียบร้อย ซึ่ง Sun ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่ให้บริการด้าน Open Source Software เยอะที่สุดอยู่แล้ว ทาง Oracle ได้ทำ FOSS community มา แต่อย่างไรก็ตาม Oracle ก็ยังมีคู่แข่งอยู่อีกหนึงคนคือ IBM

และ 20 เหตุผล ที่ทำให้ Oracle คือองค์กรที่มี Open Source ใหญ่ที่สุดของโลก นั่นคือ Software 20 ตัวแรก ที่ทาง Oracle เป็นผู้สนับสนุน Open Source เหล่านี้ อีกทั้งยังสนับสนุน Engine เพื่อให้ support products ตัวเองอีกด้วย เพื่อเป็นบทพิสูจน์ให้กับอนาคตของ Open Source ต่อไป


1. MySQL - MySQL คือ Open Source Database ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็ว่าได้ โดยมีผู้ใช้งานมากนับร้อยนับพันเว็บไซต์เลยทีเดียว

2. OpenOffice.org - เป็นชุดออฟฟิศที่มีความสามารถและการใช้งานใกล้เคียงกับ Microsoft Office ทำงานได้บนหลายแพลตฟอร์มทั้ง Windows, Linux, Mac OS X ฯลฯ ซึ่ง project นี้ทำให้เราเชื่อว่า Microsoft ที่ขายโปรแกรมให้กับสำนักงานรายใหญ่ มีคู่แข่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นแล้ว

3. InnoDB - เป็น Database Engine หนึ่งของ MySQL ที่เป็นที่นิยมเช่นเดียวกับ MyISAM InnoDB นั้นเป็นที่นิยมเพราะมีการรองรับ Transaction, Foreign Key, มี Hash Lookup, และการ Lock ได้ถึงระดับ Row เลยทีเดียว

4. Berkeley DB - Berkeley DB แก้ไขปัญหาที่สำคัญ ๆ ให้กับ Developer ในขณะที่ extreme performance, low overhead, และ no administration ด้วย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไม...What is Oracle doing messing around with a non-relational database, when they are the ones who produced the first commercial relational database?

5. VirtualBox - เป็นโปรแกรมประเภท virtualization ตัวหนึ่ง โปรแกรมในกลุ่มนี้มีหลักการทำงานคือ คุณสามารถรันอย่างน้อย 2 ระบบปฏิบัติการได้ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับความแรงของคอมพิวเตอร์ ในขณะนี้ VirtualBox สามารถในการส่งผ่านทางไกลหรือเคลื่อนย้ายได้ ซึ่งเพิ่งจะส่งลงแข่งขันกับเทคโนโลยี Server Virtualization เช่นกัน

6. OpenSolaris - เป็นลำดับที่ 2 รองจาก Linux ซึ่ง OpenSolaris มีความสามารถในเรื่อง Solaris (ZFS, Zones, Administration) โดยที่ไม่จำเป็นต้องมี Sparc architecture hardware มาช่วยรันเลย

7. Java - Java เป็น top 3 ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมแบบต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ Application, Applet, Web application (servlet & JSP), EJB, และ Midlet โดยโปรแกรมเหล่านี้จะมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากโปรแกรมที่เขียนขึ้นในภาษาอื่น อย่าง C หรือ C++ คือสามารถทำงานได้หลาย Platform (อย่างเช่น Windows, Solaris, Linux) โดยไม่จำเป็นต้องเขียนใหม่ หรือ Compile ใหม่

8. Glassfish - จัดเป็น Open Source แอพลิเคชั่นเซิร์ฟเวอร์ Java EE ที่มีน้ำหนักเบาและมีความยืดหยุ่น และยังเป็นโซลูชั่นแอพลิเคชั่นเซิร์ฟเวอร์ที่เน้นในการลดความยุ่งยากในการใช้งานแอพลิเคชั่นและการติดตั้ง

9. NetBeans - เป็นเครื่องมือสำหรับนักโปรแกรมเมอร์ที่จะใช้พัฒนา Application ด้วยภาษาจาวา ผู้พัฒนาภาษาจาวา ได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักในการพัฒนา NetBeans และได้ทำออกมาในรูปของ Opensource software โดยผู้สนใจและนักพัฒนาสามารถนำไปดัดแปลง แก้ไขได้ NetBeans IDE ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะใช้ในการพัฒนา Application ด้วยภาษาจาวาแล้ว ยังสามารถพัฒนาอื่นๆได้อีกหลากหลายโดยติดตั้งโปรแกรมเสริม(Add-on)ได้จากเว็บไซต์

10. Linux - คุณรู้หรือไม่ว่า Oracle เป็นผู้ให้การสนับสนุนรายหลักของ Linux community ซึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งของ Oracle Enterprise Linux (OEL) เช่นกัน

11. Xen - Oracle ได้ทำการลงทุนอย่างหนักกับการพัฒนา feature ของ Xen mainline software ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของ Oracle เช่นเดียวกัน Xen คือ Software Open Source จัดการระบบเสมือน โดยการทำงานต่างๆ จะถูกควบคุมโดยโดเมนศูนย์ (Domain-0) ซึ่งจะทำหน้าที่ควบคุมคอมพิวเตอร์เสมือนเพิ่มตัวต่างๆ ในระบบ และกำหนดสิทธิการทำงานและอื่นๆ

12. Eclipse - คุณเคยได้ยินชื่อ Eclipse ไหม? หรือว่าคุณไม่เคยได้ยินเลย? เพราะดูเหมือนว่า ทุกๆคนจะใช้ Eclipse ในการเขียน Programming ซะส่วนใหญ่ Eclipse เป็นเครื่องมือที่สนับสนุนสภาพแวดล้อมอย่างพร้อมสรรพสำหรับใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะสำหรับภาษา Java และเนื่องจาก Eclipse เป็น Software Open Source ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้โดยนักพัฒนาเอง ทำให้ความก้าวหน้าในการพัฒนาของ Eclipse เป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว

13. PHP - ภาษาคอมพิวเตอร์ในลักษณะเซิร์ฟเวอร์-ไซด์ สคริปต์ โดยลิขสิทธิ์อยู่ในลักษณะโอเพนซอร์ส ภาษาพีเอชพีใช้สำหรับจัดทำเว็บไซต์ และแสดงผลออกมาในรูปแบบ HTML โดยมีรากฐานโครงสร้างคำสั่งมาจากภาษา C, Java และ Perl ซึ่ง ภาษา PHP นั้นง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่งเป้าหมายหลักของภาษานี้ คือให้นักพัฒนาเว็บไซต์สามารถเขียน เว็บเพจ ที่มีความตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว

14. Apache MyFaces Trinidad - Oracle ได้บริจาก ADF Faces ให้เป็น Open Source แก่ Apache
และได้ตั้งชื่อเป็น Trinidad ซึ่งหน้าที่หลัก ๆ ของ ADF Faces คือการใช้ User Interface Components บน JavaServer Faces JSR (JSR-127) นั่นเอง

15. Oracle+Saxon-B XSLT Processor - เป็น Java XSLT Processors ที่เป็นพื้นฐานสำหรับ XSLT 2.0, XPath 2.0, และ XQuery 1.0 โดยถูกออกแบบมาเพื่ออนุญาตให้ Java developers สามารถเปลี่ยน Java API ให้อยู่ในรูปแบบ XML documents ได้ หรือ XML Processing (JAXP) หรือ JAXP นั่นเอง

16. Oracle Express Edition 10g - เป็นฐานข้อมูล Oracle ที่เปิดให้ใช้งานฟรี พัฒนาได้ฟรีตามที่ผู้ใช้งานต้องการ ซึ่งเหมาะแก่การเรียนรู้สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษา Oracle

17. XQilla XQuery Engine - เป็น XQuery engine แบบฝัง สำหรับ Developers ที่ต้องการจะสร้างหรือพัฒนา XML-based applications ใน Apache 2.0

18. JDeveloper - โปรแกรมที่ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษา Java, XML, SQL, and Web Services ซึ่งเป็น integrated development environment (IDE) สำหรับพัฒนา Web service-oriented applications นั่นเอง

19. Oracle Validated Configurations - จะช่วยลูกค้าที่จะใช้ Oracle กับ Linux สร้างระบบที่มีประสิทธิภาพ, scalability และ reliability โปรแกรมนี้มีจุดประสงค์ให้ลูกค้าที่ใช้ Linux กับ Oracle สามารถ deploy ได้เร็วขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบระบบลง

20. Oracle VM - ประกอบด้วย Software server แบบ Open Source และคอนโซลการจัดการผ่านเว็บเบราว์เซอร์โดยมีอินเทอร์เฟซแบบกราฟิกที่ใช้งานง่ายสำหรับการสร้างและจัดการแหล่งรวบรวมทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์เสมือนจริงซึ่งรันบนระบบ x86 และ x86-64 โดยครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร

อ้างอิง
20 Reasons Why Oracle is the World's Largest Open Source Company
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Thursday, March 11, 2010

การ Install Oracle Database 11g และสร้าง Database

เรามาดูิธีการ Install Oracle Database 11g กันเลยดีกว่า...

ขั้นตอนการ Install Oracle Database 11g ทำดังนี้
  1. ล็อคอินเข้าสู่ระบบโดยใช้ User ที่อยู่ใน Group ที่มีสิทธิ์ในการ Install และใช้งาน Oracle Database ได้
  2. ใส่แผ่น CD ที่จะทำการ Install จะมีหน้าต่าง Autorun ขึ้นมา
  3. ที่หน้า Configure Security Update จะมีให้ใส่ E-mail และ Oracle Support Password จากนั้นให้กด
    Next แต่ถ้าไม่ต้องการใส่ให้ Uncheck เครื่องหมายถูกออกไป และปล่อยเว้นว่างไว้ทั้ง2 ช่อง จากนั้นกด Next ถ้ามีหน้าต่างเตือนให้กด Yes
  4. ที่หน้า Installation Option ให้เลือก Create and configure a database จากนั้นกด Next
  5. ที่หน้า System Class เลือก Server Class จากนั้นกด Next
  6. ที่หน้า Grid Option เลือก Single instance database installation จากนั้นกด Next
  7. ที่หน้า Install Type เลือก Advanced Install จากนั้นกด Next
  8. ที่หน้า Product Languages เลือกภาษาที่ต้องการเพิ่มเติม (นอกเหนือจาก English) จากนั้นกด Next
  9. ที่หน้า Installation Location ปล่อยให้ค่าต่างๆเป็นไปตาม Default จากนั้นกด Next
  10. ที่หน้า Create Inventory ปล่อยให้ค่าต่างๆเป็นไปตาม Default จากนั้นกด Next
  11. ที่หน้า Create Inventory ปล่อยให้ค่าต่างๆเป็นไปตาม Default จากนั้นกด Next
  12. ที่หน้า Configuration Type เลือก General Purpose / Transaction Processing จากนั้นกด Next
  13. ที่หน้า Database Identifiers ปล่อยให้ค่าต่างๆเป็นไปตาม Default จากนั้นกด Nex
  14. ที่หน้า Configuration Options ที่แท็บ Memory ปล่อยให้ค่าเป็นไปตาม Default
  15. ที่แท็บ Character sets เลือก Choose from the following list of character sets และเลือก Thai TH8TISASCII จาก List
  16. ที่แท็บ Security ปล่อยให้ค่าเป็นไปตาม Default
  17. ที่แท็บ Sample Schema ถ้าต้องการสร้าง Sample Schema ให้ Check เครื่องหมายถูก ถ้าไม่ต้องการสร้างก็ไม่ต้อง Check เครื่องหมายถูกจากนั้นกด Next
  18. ที่หน้า Management Option ปล่อยให้ค่าเป็นไปตาม Default จากนั้นกด Next
  19. ที่หน้า Database Storage ปล่อยให้ค่าเป็นไปตาม Default จากนั้นกด Next
  20. ที่หน้า Backup and Recovery ปล่อยให้ค่าเป็นไปตาม Default จากนั้นกด Next
  21. ที่หน้า Schema Passwords เลือก Use the same password for all accounts จากนั้นให้ใส่ Password ที่ต้องการลงไป และใส่ Password เดิมซ้ำเพื่อยืนยัน
  22. ที่หน้า Operating System Groups ปล่อยให้ค่าเป็นไปตาม Default จากนั้นกด Next
  23. ที่หน้า Prerequisite Checks จะพบรายการที่ไม่ผ่านข้อกำหนดอยู่ ซึ่งถ้ารายการได้สามารถแก้ไขได้โดย OUI (Oracle Universal Installer) จะมีคำว่า Yes ต่อท้ายอยู่ที่ช่อง Fixable ถ้าต้องการให้ OUI ทำการสร้าง Script เพื่อทำการแก้ไขสามารถทำได้โดยกด Fix and check again
  24. หน้าต่าง Execute Fixup Scripts จะปรากฎขึ้นมา และแสดงวิธีการรัน Script แก้ไข
  25. su - root
    /tmp/CVU_11.2.0.0.2_oracle/runfixup.sh
  26. เปิดหน้าต่าง Terminal ขึ้นมา (โดยไม่ต้องปิดหน้าต่าง Execute Fixup Scripts) และรัน Script ด้วย User : Root ด้วยคำสั่งต่อไปนี้
  27. กลับไปยังหน้าต่าง Execute Fixup Scripts และกด OK ถ้าไม่มีปัญหาใดตกค้างอยู่ ก็จะไปหน้าถัดไป แต่ถ้ามีปัญหาตกค้างอยู่ ให้สังเกตว่าจะไม่มีคำว่า Yes ที่ช่อง Fixable ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องลงมือแก้ไขด้วยตัวเอง ในตัวอย่างนี้มีปัญหาเกี่ยวกับ Package ที่ขาดหายไปดังภาพ แก้ไขโดยการ Install Package ดังกล่าวลงไป (อาจจะหาจากแผ่นที่ทำการ Boot Linux หรือหาโหลดตามเว็บต่างๆก็ได้ครับ) จากนั้นกด Check again
  28. ถ้าไม่พบปัญหาใดๆแล้วจะแสดงหน้า Summary จากนั้นกด Finish
  29. จะพบหน้าต่างแสดง Progress การ Install Oracle Database
  30. เมื่อในส่วนของ Software ถูก Install เสร็จแล้ว ในส่วนของ Database Configuration Assistant จะเริ่มและทำการสร้าง Database ให้
  31. เมื่อ Database ถูกสร้างเสร็จแล้ว กด OK
  32. จะต้องทำการรัน Script อีก 2 Script ด้วย User : Root
  33. เปิดหน้าต่าง Terminal ขึ้นมาแล้วใช้คำสั่งต่อไปนี้
  34. su -
    
    /u01/app/oraInventory/orainstRoot.sh
    /u01/app/oracle/product/11.2.0/dbhome_1/root.sh
  35. กลับมาหน้าต่างเดิมจากนั้นกด OK
  36. จะพบหน้าต่างแสดงการ Install และสร้าง Database เสร็จสมบูรณ์

...เท่านี้ ก็ถือว่าการ install Oracle 11g เสร็จเป็นที่เรียบร้อยครับ
ไว้บทความหน้า ผมจะมาบอกวิธีการสร้าง Database โดยใช้ Database Configuration Assistant (DBCA) นะครับ

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Tuesday, March 9, 2010

SQL Developer 2.1.1 เปิดให้ download แล้ว


เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมา Oracle ได้ออก SQL Developer 2.1 Patch 1 (2.1.1.64.39) มาให้ดาวน์โหลดแบบสมบูรณ์ ในรูปแบบ Patch เท่านั้น เราเลยเรียกการออกครั้งนี้ว่า "Patch Release"

เพราะใน Patch นี้ เป็นเพียงการแก้ไข issue ต่าง ๆ ที่พบในเวอร์ชั่นก่อนแต่ไม่ได้มี Function ใหม่ ๆ ออกมา จึงไม่สามารถพูดได้ว่า เป็นการออกตัว Product ใหม่เลยซะทีเดียว

การที่ออกมาใหม่ครั้งนี้เป็นเพียงการ Update Patch ไม่ได้เป็นการเพิ่ม Function แต่อย่างใด ฉะนั้นมันจึงมีการเพิ่ม Feature ต่าง ๆ ค่อนข้างน้อย สำหรับคนที่รอ Feature ใหม่ ๆ ก็คงต้องรอกันต่อไป

สามารถตรวจสอบดูรายการ Bugs Fixed ต่าง ๆ ใน Patch นี้ได้จาก ที่นี่
หรือ ดู Exchange หรือ ค้นหา Fixed Feature 2.1.1 ต่าง ๆ ได้จาก ที่นี่

ดาวน์โหลด OTN pages for SQL Developer ได้ตาม link ด้านล่างนี้

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Friday, March 5, 2010

ประชาสัมพันธ์ ตำแหน่งงาน Functional resource และ Technical resource

ประชาสัมพันธ์ สำหรับผู้ที่สนใจทำงานเกี่ยวกับ Oracle ในกรุงเทพฯ ตอนนี้ตำแหน่งงานเกี่ยวกับ Oracle Consultant อยู่ 2 ตำแหน่ง คือ Functional resource และ Technical resource สำหรับผู้ที่สนใจ กรุณาส่ง Resume ไปที่ คุณ Sreekanth ตาม Email นี้ rajaratnam.sreekanth@aitekltd.com

รับสมัครพนักงานในตำแหน่ง Functional resource 3 ตำแหน่ง และ Technical resource 6 ตำแหน่ง โดยผู้สมัคร ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

Title: Functional resource (3 people)
Technical resource (6 people)
Job Description:
  • 7+ years of experience, atleast 3+ years of experience in production support/maintenance
  • Ability to understand problem quickly and provide short term/long term solutions
  • Knowledge of atleast three modules (as stated above)
  • For function resource - should have good English communication skills and ability to communicate with customers of other Asian countries (English speaking). Knowledge of FSG reports is also required
  • For technical resource - strong knowledge of Forms/reports/FSG/Discoverer is essential
  • Good communication and documentation skills

ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ คุณ Sreekanth ตาม Email นี้ rajaratnam.sreekanth@aitekltd.com
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน:  

Wednesday, March 3, 2010

Oracle Database Lite

Oracle Database Lite ถูกออกแบบมาเพื่อเหมาะสำหรับการนำไปใช้งานบน mobile device หรือการนำมา embeded ลงกับโปรแกรมที่มีอยู่แล้ว ด้วยขนาดที่เล็กของมัน ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูล สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงกรณีที่มีปัญหา Network ขัดข้อง (กรณีที่ Database อยู่บน Server)

เนื่องจากเป็นการทำงานบน Client แต่มี feature ของการ Synchronize กับ Oracle Database Lite Mobile Server และนอกจากนั้น Mobile Server ก็ยังสามารถทำการ Synchronize กับ Enterprise Oracle Database ได้อีกด้วย

ฟังดูแล้วน่าลองใช่ไหมครับ งั้นเรามาดูวิธีการ Embed ตัว Oracle Lite กัน...
สามารถทำได้โดยการ Copy ไฟล์จำนวน 5 ไฟล์ลงไปยัง Directory ที่เก็บไฟล์ .dll ของ Application อยู่ครับ โดยไฟล์ทั้ง 5 จะอยู่ใน ORACLE_HOME/Mobile/Sdk มีดังนี้
  • olite40.msb : Oracle Database Lite message file
  • olobj40.dll : Oracle Database Lite object kernel
  • olod2040.dll : Oracle Database Lite ODBC driver
  • olsql40.dll : Oracle Database Lite SQL runtime library
  • olstddll.dll : Oracle Lite Common library

เมื่อทำการ Copy Files ทั้งหมดแล้ว เราก็สามารถทำให้ Program สามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านทาง ODBC interface ได้

ส่วน Data ล่ะ จะไปอยู่ที่ File ไหน ?
Database จะถูกเก็บไว้ในไฟล์ .odb ซึ่งการสร้าง Database ไว้บน Client แบบนี้ สามารถทำได้โดยการ Sync กับ Oracle Database Lite Server ครับ จากนั้นก็จะมีการสร้าง snapshot ไว้ที่ database ใน server ซึ่งเมื่อ Client มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก็จะยังไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับ data ที่อยู่บน server แต่จะไปยุ่งเกี่ยวกับ data บน server ก็ต่อเมื่อมีการ Sync กันครับ โดยใช้ Oracle Database Lite Mobile Synchronization application (msync)

แล้ว Database Lite กับ Database ธรรมดา มันต่างกันตรงไหนล่ะ ?
ในเรื่องของความแตกต่างระหว่าง Database แบบธรรมดากับแบบ Lite นั้น สามารถดู Link ได้จากด้านล่าง ที่แสดงตารางเปรียบเทียบ Feature ต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน เช่น ขนาดของ Database, Spec ของเครื่อง, OS เป็นต้น
What’s the Difference with other Oracle Database Editions?

สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากที่นี่ครับ
Understanding The Oracle Lite Database

อ้างอิง
ข้อเขียนนี้ช่วยฉัน: